ห๊ะ…เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?
ปัญหาหนึ่งของผู้สูงวัย และอาจถือเป็นปัญหาของคนรอบข้างด้วยเหมือนกัน คือการที่ผู้สูงวัยมีความสามารถในการรับเสียงแย่ลงหรือพูดง่ายๆก็คือ หูตึงนั่นเอง และเนื่องจากเป็นภาวะที่ค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ในบางครั้ง ผู้สูงวัยหรือคนรอบข้างอาจมีปัญหาอื่นแทรกซ้อนได้ จากการที่ต้องตะโกนสื่อสารกันเป็นเวลานาน เช่น เสียงแหบ ไอเรื้อรัง เป็นต้น
ภาวะหูตึง หมายความถึง ภาวะที่ความสามารถในการรับเสียงแย่ลง มีการให้ระดับความรุนแรงของการเสียการได้ยิน ดังตารางดังต่อไปนี้
ระดับการได้ยิน | ระดับความพิการ | ความสามารถในการเข้าใจคำพูด |
0-25 dB | ปกติ | ไม่ลำบากในการรับฟังคำพูด |
26-40 dB | หูตึงน้อย | ไม่ได้ยินเสียงกระซิบ |
41-55 dB | หูตึงปานกลาง | ไม่ได้ยินเสียงพูดปกติ |
56-70 dB | หูตึงมาก | ไม่ได้ยินเสียงพูดที่ดังมาก |
71-90 dB | หูตึงรุนแรง | ได้ยินไม่ชัดแม้ต้องตะโกน |
>90 dB | หูหนวก | ตะโกน หรือใช้เครื่องขยายเสียงก็ไม่ได้ยิน |
การที่คนเราสามารถรับเสียง อาศัยกลไก 2 ส่วน คือ
- ส่วนนำเสียงและขยายเสียง ได้แก่ หูชั้นนอกและหูชั้นกลาง คลื่นเสียงจากภายนอกผ่านเข้าไปในช่องหูจะไปกระทบแก้วหู และมีการส่งต่อและขยายเสียงไปยังส่วนของหูชั้นในต่อไป ถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ทำให้เกิดภาวะหูตึงได้
- ส่วนประสาทรับเสียง ได้แก่ส่วนของหูชั้นในไปจนถึงสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่เรารับรู้และเข้าใจเสียงต่างๆ ความผิดปกติบริเวณนี้ ส่วนใหญ่ทำให้เกิดภาวะหูตึง หูหนวกถาวร และบางโรคทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
โรคที่ทำให้เกิดภาวะเสียการได้ยินจึงมีสาเหตุได้ทั้งจากส่วนนำเสียง ขยายเสียง และส่วนประสาทรับเสียงด้วย แต่กล่าวโดยทั่วไป หากพูดถึงภาวะหูตึง ก็จะหมายความถึงการเสียการได้ยินจากประสาทรับเสียง ซึ่งสาเหตุของภาวะหูตึงนี้อาจจะมีได้จากหลายสาเหตุ
- จากการเสื่อมตามวัย ตามเงื่อนไขพันธุกรรมของแต่ละบุคคล ดังนั้นแต่ละคนอาจจะหูตึงเร็วช้าต่างกันได้
- หูพิการแต่กำเนิด เกิดจากพันธุกรรม พัฒนาการผิดปกติ หรือการเป็นโรคระหว่างตั้งครรภ์ของมารดาเอง เช่น โรคหัดเยอรมัน
- จากโรคประจำตัวที่มีอยู่ เช่น เบาหวาน ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดการเสื่อมของหูชั้นในเร็วมากขึ้น
- จากการใช้ยา เนื่องจากมียาบางกลุ่มที่อาจมีผลเสียต่อหูชั้นในของผู้ป่วยบางรายได้ เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่ม อะมิโนไกลโคไซด์ ยาขับปัสสาวะ ที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง ยาแอสไพริน เป็นต้น
- หูตึงจากภาวะเสียงดัง เกิดจากการสัมผัสเสียงที่ดังเกินไปเป็นเวลานานเกินไป
ขั้นตอนในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่สงสัยว่ามีปัญหาด้านการได้ยินนั้นไม่ยุ่งยาก เริ่มต้นแพทย์จะตรวจร่างกายดูสภาพของหูชั้นนอก ช่องหู แก้วหู หูชั้นกลางว่ามีความผิดปกติใดหรือไม่ หากตรวจพบก็จะดูแลรักษาไปตามแต่ละภาวะ จากนั้นจึงเป็นการตรวจการได้ยินและหากสงสัยว่ามีภาวะหูตึง จึงจะส่งตรวจการได้ยินเพื่อยืนยัน และดูระดับความรุนแรง จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนการรักษาซึ่งขึ้นกับว่าลักษณะของผู้ป่วยเข้ากับโรคใด หากเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในภาวะที่แก้ไขได้แล้วก็จะเป็นการฟื้นฟูด้วยการใช้ เครื่องช่วยฟังต่อไป
แหล่งที่มาข้อมูล : ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล